ผลกระทบของเลเวอเรจต่อยอดเงินในบัญชี

ภาพด้านล่างแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของราคาซึ่งอิงจากเลเวอเรจและขนาดยอดเงินในบัญชีของคุณ สมมติว่าคุณซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น และราคาเพิ่มขึ้น 1% จาก 120.00 เป็น 121.20 ถ้าคุณทำการซื้อขายในขนาด 1 สแตนดาร์ดล็อตซึ่งเท่ากับ 100,000 ดอลลาร์ นี่คือผลกระทบของเลเวอเรจต่อผลกำไรของคุณ:

การสูญเสียเมื่อราคาเปลี่ยนแปลง

สมมติว่าคุณซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น และราคาเสื่อมค่าลง 1% จาก 120.00 เป็น 118.80 ถ้าคุณทำการซื้อขายในขนาด 1 สแตนดาร์ดล็อตซึ่งเท่ากับ 100,000 ดอลลาร์ นี่คือผลกระทบของเลเวอเรจต่อผลกำไรของคุณ:

ความสำคัญของการตั้งค่าเลเวอเรจ

ยิ่งคุณใช้เลเวอเรจสูงเท่าไหร่ “พื้นที่หายใจ” ที่คุณมีในการให้ตลาดเปลี่ยนแปลงยิ่งจะน้อยลงก่อนที่คุณจะได้รับการเรียกเพิ่มมาร์จิ้น คุณอาจกำลังคิดว่า “ฉันเป็นนักเทรดที่ปิดการซื้อขายในวันเดียว ฉันไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่หายใจ ฉันตั้งค่าหยุดขาดทุนที่ 20 ถึง 30 จุด” งั้นเรามาดูกรณีตัวอย่างกันเถอะ:

ตัวอย่างการซื้อขายที่ 1

คุณเปิดบัญชีไมโครด้วยเงิน 500 ดอลลาร์สหรัฐ ทำการซื้อขายในขนาด 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต้องการมาร์จิ้นเพียง 5% คุณซื้อ 2 ไมโครล็อตในคู่เงินยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ เลเวอเรจที่แท้จริงของคุณคือ 40:1 (20,000 ดอลลาร์/500 ดอลลาร์) คุณตั้งค่าหยุดขาดทุนที่ 30 จุด ซึ่งถูกทริกเกอร์ คุณสูญเสียเงิน 60 ดอลลาร์ (1 ดอลลาร์/จุด x 2 ล็อต) คุณสูญเสีย 12% ของยอดเงินในบัญชี (60 ดอลลาร์จากการขาดทุน/500 ดอลลาร์ยอดบัญชีทั้งหมด) ตอนนี้ยอดเงินในบัญชีของคุณคือ 440 ดอลลาร์ คุณคิดว่าคุณเพียงแค่โชคร้าย วันถัดไปคุณรู้สึกดีขึ้น ต้องการที่จะทำกำไรคืนจากการสูญเสียเมื่อวานนี้ ดังนั้นคุณคิดจะลงทุนมากขึ้น ซื้อ 4 ไมโครล็อตในคู่เงินยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ

การขาดทุนที่เพิ่มขึ้น

เลเวอเรจที่แท้จริงของคุณประมาณ 90:1 (40,000 ดอลลาร์/440 ดอลลาร์) คุณตั้งค่าหยุดขาดทุนที่ 30 จุด การซื้อขายของคุณสูญเสีย คุณขาดทุน 120 ดอลลาร์ (1 ดอลลาร์/จุด x 4 ล็อต) คุณสูญเสีย 27% ของยอดเงินในบัญชี (120 ดอลลาร์จากการขาดทุน/440 ดอลลาร์ยอดบัญชีทั้งหมด) ตอนนี้ยอดเงินในบัญชีของคุณเหลือ 320 ดอลลาร์

การหยุดการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง

คุณคิดว่าทิศทางจะเปลี่ยน จึงทำการซื้อขายอีกครั้ง คุณซื้อ 2 ไมโครล็อตในคู่เงินยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ เลเวอเรจที่แท้จริงคือ 63:1 คุณตั้งค่าหยุดขาดทุนที่ 30 จุดและคุณโดนหลอกอีกครั้ง! คุณขาดทุน 60 ดอลลาร์ (1 ดอลลาร์/จุด x 2 ล็อต) คุณสูญเสีย 19% ของยอดเงินในบัญชี (60 ดอลลาร์จากการขาดทุน/320 ดอลลาร์ยอดบัญชีทั้งหมด) ตอนนี้ยอดเงินในบัญชีของคุณคือ 260 ดอลลาร์

การพิจารณาเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์

คุณรู้สึกหงุดหงิด คุณพยายามคิดว่าคุณทำผิดตรงไหน คุณเชื่อว่าการตั้งค่าหยุดขาดทุนของคุณแน่นเกินไป ในวันถัดไป คุณซื้อล็อต 3 ไมโครล็อตในคู่เงินยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ เลเวอเรจที่แท้จริงคือ 115:1 (30,000 ดอลลาร์/260 ดอลลาร์) การตั้งค่าหยุดขาดทุนของคุณถูกตั้งไว้ที่ 50 จุด ซึ่งถูกทริกเกอร์ การซื้อขายเริ่มต้นด้วยทิศทางขัดแย้งกับคุณ และดูเหมือนว่าคุณต้องหยุดขาดทุนอีกครั้ง

การเรียกเพิ่มมาร์จิ้น

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปแย่กว่านั้น! คุณได้รับการเรียกเพิ่มมาร์จิ้น! เนื่องจากคุณเปิด 3 ไมโครล็อตด้วยเงินในบัญชี 260 ดอลลาร์ ค่าใช้จ่ายในมาร์จิ้นคือ 150 ดอลลาร์ และเงินมาร์จิ้นที่สามารถใช้งานได้เพียง 110 ดอลลาร์ การซื้อขายเบี่ยงเบนจากคุณไป 37 จุดเนื่องจากคุณเปิด 3 ไมโครล็อต คุณได้รับการเรียกเพิ่มมาร์จิ้น หมายความว่าตำแหน่งของคุณจะถูกชำระด้วยราคาตลาด

สรุปผลการขาดทุนจากการซื้อขาย

ในบัญชีของคุณเหลือเพียง 150 ดอลลาร์ หลังจากที่ได้รับการเรียกมาร์จิ้น มาร์จิ้นที่ใช้จ่ายก็คืนกลับให้คุณ หลังจากทำการซื้อขายทั้งหมด 4 ครั้ง บัญชีการซื้อขายของคุณลดลงจาก 500 ดอลลาร์เหลือ 150 ดอลลาร์ ขาดทุนถึง 70%! จำนวนเงินที่คุณสูญเสียไปได้ไม่ใช้เวลานานในการลดลง การสูญเสียติดต่อกันถึง 4 ครั้งไม่ใช่เรื่องแปลก นักเทรดที่มีประสบการณ์ก็เคยประสบกับการสูญเสียที่คล้ายกันหรือมากกว่านั้น สาเหตุที่เขาประสบความสำเร็จคือเพราะเขาใช้เลเวอเรจน้อยมาก ส่วนใหญ่ใช้เลเวอเรจสูงสุดที่ 5:1 แต่หายากที่จะถึงขนาดนั้น มักอยู่ที่ประมาณ 3:1

การจัดการต้นทุนในการซื้อขาย

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักเทรดที่มีประสบการณ์ประสบความสำเร็จคือ ขนาดทุนที่เหมาะสม! แม้ว่าการเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์พื้นฐาน การวิเคราะห์อารมณ์ การสร้างระบบ และจิตวิทยาการเทรดเป็นเรื่องสำคัญ แต่เราคิดว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสำเร็จของคุณในฐานะนักเทรดฟอเร็กซ์คือการทำให้แน่ใจว่ามียอดเงินในบัญชีที่เพียงพอและใช้เลเวอเรจน้อยในการเทรดจำนวนเงินนั้น

ตัวอย่างการซื้อขายที่ 2

จางซานเปิดบัญชีด้วยยอด 5,000 ดอลลาร์ ซึ่งสามารถซื้อขายในขนาด 100,000 ดอลลาร์ จึงใช้เลเวอเรจ 20:1 คู่เงินที่เขาซื้อขายเปลี่ยนแปลงในช่วง 70 ถึง 200 จุดต่อวัน เพื่อปกป้องตัวเอง เขาตั้งค่าหยุดขาดทุนที่ 30 จุด หากราคาเบี่ยงเบนไปมากกว่า 30 จุด เขาก็จะหยุดขาดทุน โดยสูญเสีย 300 ดอลลาร์ จางซานรู้สึกว่าจำนวน 30 จุดนั้นสมเหตุสมผล แต่เขาประเมินความผันผวนของตลาดต่ำไป เขาพบว่าตนเองต้องหยุดขาดทุนบ่อยครั้ง

การปรับปรุงทุกด้าน

หลังจากหยุดขาดทุนไป 4 ครั้ง จางซานทนไม่ไหว เขาตัดสินใจที่จะมอบพื้นที่มากขึ้นให้กับตนสำหรับการแกว่งตัว และตั้งค่าหยุดขาดทุนที่ 100 จุด เลเวอเรจของจางซานเปลี่ยนไปไม่เป็น 20:1 อีกต่อไป ยอดเงินในบัญชีลดลงเหลือ 3,800 ดอลลาร์ (สูญเสีย 300 ดอลลาร์ต่อการซื้อขาย) และเขายังคงทำการซื้อขายในขนาด 1 สแตนดาร์ดล็อต

อัตราเลเวอเรจที่สูงขึ้น

ขณะนี้เลเวอเรจของเขาอยู่ที่ 26:1 เขาตัดสินใจลดหยุดขาดทุนลงเหลือ 50 จุด เขาทำการซื้อขายในล็อต 2 สแตนดาร์ดล็อตอีกครั้ง และหลังจากเวลา 2 ชั่วโมง การตั้งค่าหยุดขาดทุน 50 จุดถูกทริกเกอร์ เขาสูญเสีย 1,000 ดอลลาร์ ตอนนี้ยอดเงินในบัญชีของเขาเหลือเพียง 2,800 ดอลลาร์ เลเวอเรจของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 35:1

การจัดการการซื้อขาย

เขาพยายามทำการซื้อขายในล็อต 2 สแตนดาร์ดล็อตอีกครั้ง ครั้งนี้ตลาดขึ้น 10 จุด เขาได้รับกำไร 200 ดอลลาร์ ยอดเงินในบัญชีของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3,000 ดอลลาร์ เขาทำการซื้อขายในล็อต 2 สแตนดาร์ดล็อตใหม่ ตลาดตกลง 50 จุด และเขาก็หยุดการซื้อขาย ตอนนี้เขาเหลือเงินในบัญชีเพียง 2,000 ดอลลาร์

การปิดตำแหน่งในตลาดตก

เขาทำการซื้อขายในล็อตใหม่ และตลาดตกลงอีก 100 จุด ด้วยจำนวน 1,000 ดอลลาร์ถูกล็อกเป็นมาร์จิ้น ทำให้เขามีน้ำหนักมาร์จิ้นเพียง 1,000 ดอลลาร์ และเขาจึงได้รับการเรียกเพิ่มมาร์จิ้น และตำแหน่งของเขาถูกชำระออกทันที ตอนนี้เขามีเงินในบัญชีเพียง 1,000 ดอลลาร์ ซึ่งไม่สามารถเปิดตำแหน่งใหม่ได้

บทสรุปการขาดทุน

การดำเนินการทั้งหมด 8 ครั้งในตลาดที่เปลี่ยนแปลงเพียง 280 จุด เขาสูญเสียเงิน 4,000 ดอลลาร์หรือ 80% ของยอดเงินในบัญชี การเปลี่ยนแปลงเพียง 280 จุดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย คุณเข้าใจแล้วหรือว่าทำไมเลเวอเรจเป็นผู้สังหารอันดับแรกของนักเทรดฟอเร็กซ์?